Creation Science Information & Links!
หน้าหลัก
คำถาม
ลิงค์
EN บทความ
หนังสือ
รูปภาพ
MP3
วีดีโอ

Afrikaans
العربية
Български
简体中文
繁體中文
Hrvatski
Čeština
Nederlands
English
Afrikaans
Arabic
Bulgarian
Chinese CS
Chinese CT
Croatian
Czech
Dutch
English
Français
Deutsch
Ελληνικά
עִבְרִית
Magyar
Indonesia
Latviešu
Norsk
Polski
French
German
Greek
Hebrew
Hungarian
Indonesian
Latvian
Norwegian
Polish
Português
Română
Русский
Српски
Slovenčina
Español
ภาษาไทย
Українська
isiZulu
Portuguese
Romanian
Russian
Serbian
Slovak
Spanish
ภาษาไทย
Ukrainian
Zulu

 
    คำถาม            Ver. 2.5
คำถามที่พบบ่อย
http://www.creationism.org/thai/creationism_faq_th.htm

มีคำถามหลากหลายถูกส่งเข้ามาในแต่ละสัปดาห์
เราหวังว่าคุณจะพบคำตอบของคำ
ถามและข้อสงสัยที่คุณมีได้จากสิ่งเหล่านี้

   คุณบ้ารึเปล่า?

เอ่อ...ยากที่จะตอบ

   คุณโง่ขนาดนี้ได้อย่างไร

เราเคยเจอกันมาก่อนไหม? ให้จำไว้ว่าคนที่ถามเราว่าเราโง่รึเปล่า เขาเองนั่นแหละคือคนที่โง่

   หลักสำคัญของการทรงสร้างโลกก็คือ “พระเจ้าพูดอย่างนี้ ฉันเชื่อสิ่งนี้ จบ” ไม่ใช่หรือ?

สำหรับบางคนก็ใช่ แต่ในอีกแง่หนึ่งเป็นไปได้ไหมว่าสำหรับคนส่วนใหญ่ หลักสำคัญของวิวัฒนาการคือ “นักวิทยาศาสตร์บอกอย่างนี้ ฉันเชื่ออย่างนี้ จบ” ไม่ใช่หรือ?

   เมื่อไหร่คุณจะเลิก “ต่อต้านวิทยาศาสตร์เสียที”?

ยกตัวอย่าง ถ้าคุณถามผมว่า “เมื่อไหร่คุณจะหยุดตีภรรยาของคุณ?” คำถามนั้นทำให้คนอื่นเข้าใจว่าผมเป็นคนที่ตีภรรยาตัวเองทั้งๆ ที่มันไม่จริง บางครั้งเมื่อมีคนส่วนน้อยที่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์และเหตุผลได้เสนอทฤษฎีอะไรสักอย่างขึ้นมา แล้วภายหลังก็มีคนพิสูจน์ได้ว่าทฤษฎีของพวกเขาถูกต้อง ดังนั้นเราเองก็ “ไม่ได้ต่อต้านวิทยาศาสตร์” ตั้งแต่แรก

จงจำไว้ว่าผู้วางรากฐานวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เป็นคนที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างโลก อย่างเช่น นิวตัน เคบเลอร์ ปาสคาร์ล บอยล์ กาลิเลโอ และอีกมากมาย ความเข้าใจของพวกเขาคือว่า มีพระผู้สร้างที่ทำให้พวกเขามีพื้นฐานที่จะแสวงหากฎธรรมชาติของการทรงสร้างของพระเจ้า และที่จะพยายามคิดตามความคิดของพระองค์ เราเองก็ทำสิ่งเดียวกันในทุกวันนี้เมื่อเราเห็นว่าเราอยู่ในจักรวาลที่มีการออกแบบอย่างมีเหตุมีผล เป็นไปได้หรือว่าสิ่งที่เรามองเห็นรอบตัวเกิดจากการระเบิดครั้งใหญ่ (บิ๊คแบง) โดยความบังเอิญ คนที่เชื่อในการทรงสร้างโลกยืนข้างเดียวกับวิทยาศาสตร์ และบอกว่าหลักฐานที่เห็นนั้นค้านกับทฤษฎีนี้

   แล้วไดโนเสาร์ล่ะ?

พูดง่ายๆ คือ ไดโนเสาร์อยู่ในเวลาเดียวกันกับมนุษย์ตลอดหลายพันปีที่เราอยู่บนโลกนี้ และมันดูเหมือนว่ามันได้สูญพันธุ์ก่อนยุคสมัยใหม่ของเรา ให้จำไว้ว่า คำว่า “ไดโนเสาร์” เกิดขึ้นเพียงแค่ 170 ปีเท่านั้น ตำนานของสัตว์เลื้อยคลานอันตราย (เช่น มังกร) เล่าขานต่อกันมาถึงเราจากบรรพบุรุษผ่านทางยุโรป จากจีนและตลอดทั่วทวีปเอเชีย และตามอเมริกา (เหนือ ใต้ กลาง) และคนในทวีปแอฟริกาก็รู้จักตำนานเหล่านี้ด้วย ทำไมตำนานเหล่านี้ (ที่เล่าขานกันมาผ่านทั้งหลายทวีป) ถึงถูกมองข้ามเพียงเพื่อที่เราจะให้ความสำคัญกับทฤษฎีวิวัฒนาการที่เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว มันเป็นสิ่งสำคัญในวิทยาศาสตร์ที่จะแยกหลักฐานออกจากการตีความ หลักฐานคือว่าเคยมีสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ที่อันตรายเหล่านี้จริง เราพบกระดูกของพวกมัน มีประวัติศาสตร์บันทึกไว้และมีรอยเท้า หลักฐานที่มีเหล่านี้เป็นหลักฐานที่หนักแน่นทีเดียว การตีความ (หรือความเชื่อ) ที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมาเป็นความขัดแย้งกันระหว่างคนที่เชื่อในการทรงสร้างของพระเจ้าและคนที่เชื่อในวิวัฒนาการ และมีเรื่องราวมากมายที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เกี่ยวกับการถูกฆ่าโดยมังกรหรือไดโนเสาร์ หรือการที่มนุษย์รวมตัวกันเพื่อจะฆ่าสัตว์เหล่านั้นเพื่อปกป้องตัวเอง เรื่องราวเหล่านี้ตลอดจนหลักฐานสำคัญอื่นๆ ได้เพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปีและนี่สนับสนุนทฤษฎีของการทรงสร้าง

   ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อ 65 ล้านปีก่อนไม่ใช่หรือ?

มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่าโลกนี้มีอายุเพียงไม่กี่พันปี ใน หนังสือ ของดร.แอคเคอร์แมนที่ชื่อว่า ในที่สุดโลกใบนี้เป็นเพียงโลกที่อายุน้อย (It's a Young World After All).  คำว่า “65 ล้านปี” เป็นสิ่งที่เพิ่งถูกคิดขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ วิวัฒนาการก็เหมือนการหาที่ซ่อนให้เราจากผู้ทรงสร้างผู้เปี่ยมฤทธิ์อำนาจ วิวัฒนาการอ้างอย่างมีหลักว่าพระเจ้าของเราอ่อนแอหรือไม่มีเลย ใช่ไหม? ลองคิดดูว่าวิวัฒนาการอ้างว่าต้นกำเนิดของเรามาจากไหน ถ้าดูจากคำตอบข้างบนจะเห็นว่ามีบรรพบุรุษของเราในทุกทวีปเคยพบเห็นและบางครั้งก็ต่อสู้กับมังกร บรรพบุรุษของเราซื่อสัตย์ในการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการพบเจอสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ที่มีอันตรายนี้ พวกมันอยู่ในยุคเดียวกันกับมนุษย์ มนุษย์เห็นไดโนเสาร์ (มังกร) แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้ถูกแต่งเติมทีหลัง แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีความจริงนิดหนึ่งที่ว่ามนุษย์และไดโนเสาร์อยู่ในยุคเดียวกันจริงๆ พวกเขาอยู่คนละที่แต่อยู่ในยุคเดียวกัน จนกระทั่งไดโนเสาร์เกือบสูญพันธุ์ไป (ถึงวันนี้ก็ยังมีไดโนเสาร์ที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้)

   4004 ปีก่อนคริสตศักราชหรือ คุณล้อเล่นรึเปล่า?

ตามความจริงแล้ว “วิทยาศาสตร์การทรงสร้าง” มีหลายรูปแบบ คนที่เชื่อเรื่องการทรงสร้างบางคนจะยอมรับการตีความตามวิวัฒนาการเกือบทั้งหมด แต่ค้านตรงจุดที่ว่าชีวิตเกิดมาเองได้ คนเหล่านี้จะโต้แย้งในเรื่อง “สาเหตุเริ่มต้น” ว่ามี “ใครคนหนึ่ง” เป็นผู้กระตุ้นให้เกิดเหตุการณ์แรก แล้วหลังจากนั้นวิวัฒนาการเป็นกระบวนการที่ “พระเจ้า” องค์นั้นได้ใช้ จากเว็บไซด์ www.creationism.org ถ้าคุณสนใจ คุณสามารถ ลิงค์ ไปเว็บไซด์อื่นที่อธิบายเรื่องนี้เพิ่มเติม แต่คนที่เชื่อการทรงสร้างคนอื่น อย่างเช่นคนที่เขียนในเว็บไซด์นี้ยังกำลังเรียนรู้และได้เข้าใจหรือเชื่อว่า ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือที่สนับสนุนวิวัฒนาการเลย และไม่มีทางที่โลกใบนี้จะสามารถมีอายุเกิน 10,000 ปีได้ เรื่องนี้ซับซ้อน แต่คนที่เชื่อในโลกที่อายุน้อยเหล่านี้เชื่อจริงๆ ว่า 4004 ปีก่อนคริสตศักราชน่าจะใกล้เคียงกับวันที่โลกถูกสร้างขึ้นจริงๆ ผมรู้ว่าคนที่เชื่อในการคำนวณอายุวัตถุเก่าแก่จากปริมาณคาร์บอนคงหัวเราะเยาะคนที่เชื่อถือในโลกอายุน้อยนี้

   40 วันและ 40 คืน จริงหรือ?

ตามความจริงแล้วในปฐมกาลบทที่ 7 ได้เขียนว่า น้ำขึ้นสูงเหนือแผ่นดินเป็นเวลา 150 วัน และลดลงเรื่อยๆ อีก 150 วัน เวลาทั้งหมดของน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่นั้นก็เป็นระยะเวลาเกือบ 1 ปีเต็ม เริ่มตั้งแต่ที่ครอบครัวของโนอาห์เข้าไปในเรือจนกระทั่งพวกเขาออกมา นั่นเป็นสิ่งที่ถูกเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน จบ แต่ในอีกแง่หนึ่งฝนก็ต้องตกหนักมากเป็นเวลา 40 วันและ 40 คืนแรกในเวลานั้น และในปฐมกาล 8:1 บอกว่ามีลมพัดแรงด้วย ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าฝนที่ตกนั้นเป็นสาเหตุของน้ำท่วมใหญ่ และคนสมัยนี้ที่เชื่อในการทรงสร้างโลกไม่เคยบอกแบบนั้นด้วย ต้องขอโทษด้วย มีแต่คนที่เชื่อเรื่องวิวัฒนาการที่พยายามประคับประคองความเชื่อที่ผิดนี้เอาไว้เพื่อจะให้คนอื่นตำหนิทฤษฎีการทรงสร้างโลก รวมถึงเรื่องน้ำท่วมใหญ่นี้ด้วย

   เป็นไปได้อย่างไรที่เรือของโนอาห์สามารถบรรทุกสัตว์ขนาดใหญ่ทุกชนิดในโลกได้

ไข่ของมังกร (ไดโนเสาร์) ใหญ่ที่สุดที่เราเคยพบมีขนาดประมาณเท่าลูกฟุตบอล เป็นไปได้ที่เราจะเก็บไข่ของบราคีโอซอรัส 12 ฟองเอาไว้ในท้ายรถยนต์แล้วยังมีที่ว่างเหลือด้วย นี่หมายความว่าไดโนเสาร์ที่เพิ่งออกมาใหม่ๆ ก็ไม่ได้ตัวใหญ่ด้วย เป้าหมายของโนอาห์คือที่จะเก็บรักษาสัตว์แต่ละชนิด คุณไม่จำเป็นต้องไปหาตัวที่ใหญ่ที่สุดของทุกชนิดมา และคุณก็ไม่จำเป็นต้องเอาพวกพันธุ์ผสมของแต่ละชนิดมาด้วย คุณรู้ไหมว่าพันธุ์หมาสมัยนี้ส่วนใหญ่ก็อายุต่ำกว่า 100 ปี หมาธรรมดาสองตัวที่แข็งแรงก็สามารถแพร่พันธุ์เป็นหมาได้ครบทุกชนิด พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ชนิด” สำหรับสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด ม้าและม้าลายสามารถ (และเคย) ผสมพันธุ์และออกลูกที่มีชีวิตอยู่ได้ เสือกับสิงโตด้วยเหมือนกัน สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า (ตามทฤษฎีการทรงสร้าง) สัตว์พวกนี้น่าจะมาจากสายพันธุ์เดียวกันในอดีต หมาและหมาป่า (ถึงแม้ว่ามนุษย์เราจะคิดว่าพวกนี้ต่างกันมาก) น่าจะมาจากชนิดเดียวกันด้วย แน่นอนว่ามีสัตว์ใหญ่บางตัว (เมื่อโตเต็มที่) เช่น ยีราฟ ช้าง และ ทีเร็กซ์ แต่ขนาดมาตรฐานของสัตว์เท่ากับแกะตัวหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น เรือ 3 ชั้นใหญ่พอที่จะบรรทุกสัตว์หลากหลายชนิดรวมทั้งอาหารของพวกมันด้วย การแพร่พันธุ์สามารถมาจาก “สัตว์ธรรมดา” ที่มีสุขภาพแข็งแรงได้ ถ้าคิดตามหลักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ มันแสดงให้เห็นถึงการออกแบบที่หลากหลายอันน่าทึ่งใช่ไหมล่ะ?

   แม้ว่าทั้งบรรยากาศโลกเต็มไปด้วยน้ำ 100% และฝนเริ่มตกลงมาก็ยังจะมีน้ำไม่พอที่จะปกคลุมทุกทวีปได้ เป็นไปไม่ได้ที่น้ำท่วมโลก ยอมรับเสียเถอะ

นี่เป็นคำโต้แย้งที่พบบ่อยเกี่ยวกับคำถามสองคำถามข้างบน เรื่องในปฐมกาลเกี่ยวกับน้ำท่วมโลกดูเหมือนว่าเป็นเพียงแค่สิ่งที่โนอาห์เห็น และอาจเป็นไปได้ที่มันไม่ได้ภาพใหญ่ของเหตุการณ์ทั้งหมดที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดเหตุการณ์อื่นๆ ไม่มีการกล่าวถึงน้ำแข็งเลย เราได้ทราบว่าน้ำได้ขึ้น (ใน 150 วันแรก) ซึ่งตรงกับการเริ่มต้นของ 40 วันที่ฝนตก และน้ำพุจากที่ลึกก็พลุ่งขึ้นมา ซึ่งนี่เป็นประโยคที่น่าสนใจ ฝนไม่ได้เป็นสาเหตุให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ แต่เป็นอาการหนึ่งของมหาภัยพิบัติที่เริ่มต้นในเวลาเดียวกัน

   น้ำเค็มไหลท่วมทุกทวีปน่าจะทำลายต้นไม้ทุกชนิดอยู่แล้ว ใช่ไหม?

คุณเคยผสมน้ำตาลในกาแฟแล้วลืมคนไหม? มันมีรสชาติแบบไหน? ก่อนน้ำท่วมโลกทะเลยังไม่ได้ “ถูกคน” เลย ทะเลในตอนนั้นอาจจะยังไม่มีแร่ธาตุเท่าใดนักจนกระทั่งเกิดน้ำท่วมใหญ่กวาดล้างแผ่นดินอย่างรุนแรง และเรารู้ว่าเมล็ดพืชตามธรรมชาติแท้ๆ (ไม่ใช่พวกลูกผสมซึ่งไม่แข็งแรงเท่า เหมือนหมาพันธุ์ผสมนั่นเอง) มีความแข็งแรงและสามารถทนทานต่อการกระทบกระเทือนเคลื่อนย้ายได้โดยยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้หลายเดือนเมื่อแช่อยู่ในน้ำและถูกกระจายออกไปด้วยน้ำ จากบันทึกซากฟอสซิลดูเหมือนว่าพืชบางชนิดและสัตว์ทะเลหลายชนิดไม่ได้มีชีวิตรอดจากน้ำท่วมและไม่สามารถมีการปรับตัวที่จำเป็นต้องมีในสิ่งแวดล้อมที่เย็นลงหลังจากน้ำท่วม ยกตัวอย่างต้นธูปเคยโตสูงถึง 60 ฟุตในสมัยก่อน แต่ที่หลงเหลือที่เราเห็นวันนี้ จะไม่โตเกิน 3 ฟุต โลกสมัยนี้เป็นเพียงสิ่งที่หลงเหลืออยู่จากสิ่งที่เคยมีมาก่อน

   น้ำท่วมในสมัยโนอาห์ท่วมแค่เพียงพื้นที่บางส่วนหรือเปล่า?

เป็นไปไม่ได้ บางคนโต้แย้งในเรื่องนี้จนถึงทุกวันนี้ แต่ในปฐมกาลได้กล่าวไว้ชัดเจนว่าพระเจ้าทรงตั้งพระทัยที่จะให้น้ำท่วมทั่วแผ่นดินโลก มนุษย์ทุกคน สัตว์ทุกตัว และนกทุกตัวที่ไม่ได้อยู่บนเรือโนอาห์จะจมน้ำตาย โดยส่วนใหญ่มนุษย์เราสามารถเดินได้ 3 ไมล์ต่อชั่วโมง ถูกต้องไหม? ถ้าอย่างนั้นภายใน 10 ชั่วโมง คนคนหนึ่งสามารถเดินได้ 30 ไมล์ (50 กิโลเมตร) ภายใน 100 วันของการเดินทางแบบนี้ก็เป็นไปได้ที่คนคนหนึ่งจะสามารถเดินได้ 2-3 พันไมล์ ถูกต้องไหม? (ลองนึกภาพนักบุกเบิกชาวอเมริกันที่ทั้งเดินและขับขบวนเกวียนของพวกเขาข้ามจากภาคตะวันออกของอเมริกาเหนือไปยังภาคตะวันตกตลอดช่วงเวลาอันยาวนาน) ถ้าพระเจ้าจะให้ “น้ำท่วมบางพื้นที่” ทำไมพระเจ้าไม่ได้ให้โนอาห์สร้าง “เกวียนของโนอาห์” แทนล่ะ? โนอาห์แค่เพียงย้ายจากหุบเขาหนึ่งไปอีกหุบเขาหนึ่งเพื่อหนีน้ำท่วมแบบนั้น ตามภูมิศาสตร์เราสามารถเห็นชั้นหินตะกอนที่ปกคลุมทุกทวีป ตะกอนส่วนใหญ่ถูกทับถมกันโดยน้ำ ชั้นหนาๆที่เหมือนกันที่อยู่ลึกๆนี้กระจายไปด้านข้างเป็นหลายร้อยตารางไมล์ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในอดีตโดยใช้กระบวนการทับถมอันยิ่งใหญ่ที่เราไม่เห็นเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ ชั้นลึกเหล่านี้แทรกไปด้วยถ่านหินและน้ำมัน (สิ่งมีชีวิตในอดีตที่ถูกบด) อยู่ในทุกทวีป ซึ่งหมายถึงว่าเคยมีน้ำท่วมโลก

น้ำท่วมโลกเป็นเรื่องระดับโลก มันถูกบันทึกเอาไว้ในตำนานและประวัติศาสตร์จากทั่วโลก ไม่ใช่เพียงแค่ในการบันทึกของพวกฮีบรู รากฐานความจริงสูงสุดของคุณคืออะไร? มันเป็น “วิทยาศาสตร์แบบผิดๆ” ที่ตามกระแสและความเชื่อที่ทุกคนเชื่อเป็นเอกฉันท์แบบชั่วคราวไหม? หรือว่าเป็นพระวจนะของพระเจ้ารวมด้วยการยอมรับว่านักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ก็ผิดเป็นบางครั้ง? มากว่าหนึ่งพันปีมาแล้ว จากปโตเลมีไปจนถึงกาลิเลโอ พวกนักวิทยาศาสตร์ก็คิดผิดเกี่ยวกับว่าจักรวาลหมุนรอบโลกใช่ไหม? การที่คริสตจักรประหารกาลิเลโอก็มาจากการสนับสนุนในเรื่อง “วิทยาศาสตร์” (ในความคิดของพวกเขา) ที่พวกเขาถูกสอนจากนักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้น ผู้นำคริสตจักรสนับสนุนเพื่อนของพวกเขาแทนที่จะสนับสนุนกาลิเลโอผู้เสนอว่านักวิทยาศาสตร์กรีกและทฤษฎีของปโตเลมี (ซึ่งมาก่อนเขา 1,000 ปี) อาจจะไม่จริง “ให้วางใจในนักวิทยาศาสตรส่วนใหญ่หรือ?” พวกเขาน่าจะถูกใช่ไหม? ไม่ บางครั้งคนส่วนใหญ่ก็ผิดได้ นักวิทยาศาสตร์สมัยก่อนผิดเมื่อโต้แย้งว่าทั้งจักรวาลหมุนรอบโลก และมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือที่นักวิทยาศาสตร์สมัยนี้ผิดในการเสนอว่าเราเป็นผลที่เกิดมาจากทฤษฎีระเบิดครั้งใหญ่ มันป็นแค่การเกิดขึ้นจากความบังเอิญโดยไม่มีพระเจ้าที่เราต้องตอบสนอง เหตุฉะนั้นจงใช้ชีวิตของคุณเพื่อปัจจุบันเท่านั้น มนุษย์เราสร้างกฎ การเห็นด้วยกันอย่างเป็นเอกฉันท์ก็เป็นอำนาจสูงสุด

   การพิจารณาคดีในศาลของสโคปส์ในปี 1925 (ที่เราเรียกว่าการพิจารณาคดีในศาลลิง) เปิดเผยว่าวิวัฒนาการชนะ และการที่พระเจ้าทรงสร้างโลกแพ้ไม่ใช่หรือ?

นั่นเป็นสิ่งที่สื่อมวลชนเสรีนิยมและฮอลลีวูดได้รายงานตั้งแต่ตอนนั้น

   ทำไมคุณไม่ยอมอดทนต่อความเชื่อของคนอื่น?

ผมสามารถให้ลิงค์และรายงานในทั้งสองด้านของเรื่องนี้ได้ ไม่เหมือนกับพวกสื่อเสรีนิยมและฮอลลีวูดที่มองด้านเดียวตลอดหลายปีที่ผ่านมา

   คนที่เชื่อเรื่องการทรงสร้างโลกแบนๆ นี้ทำให้ผมรู้สึกรังเกียจ

นี่ไม่ใช่คำถาม แต่คำพูดแบบนี้หลายๆ รูปแบบมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ ตามปกติแล้วคำพูดแบบนี้มักจะมาจากพวกคนหนุ่มสาวที่อยากให้คนที่เชื่อในการทรงสร้างโลก (หรือใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับเขา) ถูกตำหนิ  :-)

คุณรู้อะไรไหม หนึ่งสิ่งที่ผมเคยพูดไว้เกี่ยวกับกลุ่มที่สงสัยเรา คือ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับสิ่งที่ผมสรุปไว้เลยสักนิด ก็ขอให้เขายังพิจารณาหลักฐานของมัน คนที่คิดทฤษฎีใหม่ในอีก 10-20 ปีข้างหน้าจะเป็นคนที่รวบรวมหลักฐานที่ผู้เชี่ยวชาญในสมัยนี้ได้มองข้ามเพราะว่าข้อมูลเหล่านั้นไม่ตรงกับทฤษฎีของผู้เชี่ยวชาญพวกนั้น (ดูคำถามข้างล่าง)

   การคำนวณอายุวัตถุเก่าแก่จากปริมาณคาร์บอนพิสูจน์ว่าการที่พระเจ้าสร้างโลกเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม?

คนที่เชื่อในการทรงสร้างโลกยืนอยู่ฝ่ายเดียววิทยาศาสตร์ที่สามารถทดสอบซ้ำๆ ได้ อีกครั้งหนึ่ง คนที่เชื่อในเรื่องการทรงสร้างโลกอยู่ฝ่ายเดียวกับวิทยาศาสตร์ คนที่เชื่อในวิวัฒนาการไม่สนใจวิทยาศาสตร์ตอนที่ไม่สะดวกใจที่จะเชื่อ เราจะไม่พบก้อนหินที่ถูกปั๊มด้วยวันที่ และไม่มีใครที่เคยเห็นก้อนหินมีอายุมากขึ้นตามเวลาหลายล้านปี การคำนวณอายุวัตถุเก่าแก่จากปริมาณคาร์บอนเป็นความจริงแค่ 33% ส่วน 66% นั้นเป็นแค่การคาดคะเน และมันเป็นไปไม่ได้ที่จะทดลองสิ่งนี้ซ้ำๆ การเคลื่อนที่ของลาวาที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ตามหลักการคำนวณอายุวัตถุเก่าแก่จากปริมาณคาร์บอน ได้บอกว่าลาวานั้นมีอายุหลายล้านปี นี่ไม่ได้ทำให้เรามีความมั่นใจในหลักฐานที่คาดเดาในเรื่องอายุอันยาวนานของโลกนี้ เราสามารถพบคาร์บอนที่อยู่บนและใกล้กระดูกฟอสซิลของไดโนเสาร์หลายชิ้น (ตามทฤษฎีวิวัฒนาการ กระดูกเหล่านี้น่าจะอายุอย่างน้อย 65 ล้านปี ถูกต้องไหม?) คนที่เชื่อในการทรงสร้างโลกจะขูดคาร์บอนจากกระดูกเหล่านั้นและส่งไปที่ห้องแล็ปเพื่อที่จะทำการคำนวณอายุวัตถุเก่าแก่จากปริมาณคาร์บอน (C14) dating ผลที่ออกมาคือว่าคาร์บอนนั้นมีอายุสูงสุดเพียงแค่ไม่กี่พันปี วิทยาศาสตร์ชนะ

คนที่เชื่อในวิวัฒนาการมักจะโกรธมากเมื่อคนที่เชื่อในการทรงสร้างโลกจะมาตีพิมพ์ภายหลังว่าคาร์บอนนั้นมาจากไหน อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ปล่องลาวาอันใหม่ของภูเขาเซนต์เฮเลนส์.  มันมีอายุแทบไม่ถึง 35 ปี แต่เมื่อมีการคำนวณอายุวัตถุเก่าแก่จากปริมาณคาร์บอนแสดงให้เห็นว่ามันมีอายุ 1 ล้านปี ต้องมีอะไรที่ผิดพลาดอย่างมากตรงนี้ ปอมเปและฮาวายมีการไหลของลาวาในประวัติศาสตร์ของเขา และการคำนวณอายุวัตถุเก่าแก่จากปริมาณคาร์บอนก็ใช้ไม่ได้ด้วย แต่มหาปุโรหิตของวิวัฒนาการยึดมั่นในอายุโบราณเพราะว่ามันไม่มีหลักฐานอย่างอื่นที่อ้างว่าโลกใบนี้อายุมากกว่า 10,000 ปี แม่น้ำใหญ่ทั้งหมดและน้ำตกต่างๆ ก็เปิดเผยว่าโลกใบนี้มีอายุแค่ไม่กี่พันปี ตำนานที่ว่าอายุของโลกยืนนานนั้นไม่จริง การทดสอบซ้ำๆได้นี่คือวิทยาศาสตร์ที่เรากำลังพูดถึง การทดสอบเหล่านี้ เราสามารถทำซ้ำได้

   แล้วบันทึกซากฟอสซิลล่ะ?

เพื่อนสนิทที่สุดของคนที่เชื่อเรื่องการทรงสร้างโลก (คือบันทึกซากฟอสซิล) ซึ่งยังขาดหลักฐานของสิ่งมีชีวิตที่กำลังอยู่ในช่วงของการวิวัฒนาการจากชนิดหนึ่งไปสู่อีกชนิดหนึ่ง แน่นอนว่าแต่ละยุคของนักวิวัฒนาการมีการทดสอบสัตว์บางชนิดที่ดูเหมือนว่ากำลังเปลี่ยนจากชนิดหนึ่งไปสู่อีกชนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่มีตัวไหนที่ผ่านการทดสอบได้ เมื่อเร็วๆ นี้ พวกเขาพยายามอย่างมากที่จะอ้างว่าไดโนเสาร์สร้างขนแบบนกได้ เพื่อที่จะทำให้ทฤษฎีวิวัฒนาการดูสมเหตุสมผล นี่ก็ล้มเหลวด้วยเหมือนกัน จงรอและดู (แต่อย่างไรพวกเขาก็เป็นนักศิลปะที่เก่งๆ กันใช่ไหม?) พวกเขาได้มีภาพตัวอย่างสวยงามของสัตว์บางชนิดที่ดูเหมือนว่ากำลังเปลี่ยนจากชนิดหนึ่งไปสู่อีกชนิดหนึ่ง แต่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สักนิดหนึ่งที่จะสนับสนุนว่านี่เป็นความจริง มันเป็นสิ่งที่น่าเศร้าที่พวกเขากำลังโฆษณาชวนเชื่อให้กับเด็กๆ

   วิวัฒนาการของมนุษย์ (มนุษย์โบราณ) เป็นข้อเท็จจริง ยอมรับเสียเถอะ!

มนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้มีความจุของกะโหลกศีรษะต่างกันไปตั้งแต่ 700 ถึง 2200 ลูกบาศก์เซนติเมตร ซึ่งขนาดของสมองนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความฉลาด (ค่าเฉลี่ยคือประมาณ 1300 ถึง 1350 ลูกบาศก์เซนติเมตร) ผมเคยอยู่ในเมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นประมาณ 5 ปี ขนาดสมองของคนญี่ปุ่นโดยเฉลี่ยก็เล็กกว่าผมมาก (ผมเป็นคนผิวขาวที่ตัวสูง) แต่ผมบอกคุณได้เลยว่า พวกคนญี่ปุ่นเป็นคนที่ฉลาดมาก ถ้าเราดูคอมพิวเตอร์ เราอาจจะโต้แย้งว่าวงจรที่อยู่ใกล้เคียงกันจะมีประสิทธิภาพและรวดเร็วกว่า เหตุฉะนั้น สมองที่มีขนาดเล็กคงไม่ได้เสียเปรียบใช่ไหมครับ ตอนที่นักวิวัฒนาการเอากะโหลกมาเรียงตามขนาดจากเล็กไปใหญ่ (แล้วตั้งใจที่จะซ่อนกะโหลกสมัยโบราณที่มีขนาดใหญ่กว่ากะโหลกสมัยนี้โดยเฉลี่ย) พวกเขาตั้งสมมุติฐานเท็จที่เชื่อมขนาดกะโหลกกับความฉลาด โดยไม่ได้ใช้เหตุผล และวิธีการคำนวณอายุวัตถุเก่าแก่จากปริมาณคาร์บอนก็ใช้ไม่ได้ตั้งแต่แรก (อย่างที่อธิบายไว้ข้างบน) ดังนั้น พวกเขาไม่รู้จริงๆว่าอายุของแต่ละกะโหลกเป็นเท่าไหร่จริงๆ

ขอโทษนะ แต่อะไรจะเกิดขึ้นกับกระดูกของคนที่ไม่มีแคลเซียมพอในอาหารของเขา หรือยกตัวอย่างเช่น ถ้าพวกเขาขาดทองแดง ก็จะมีผลกระทบต่อการพัฒนาของสมอง ถ้าในสมัยก่อน คนมากมายกินเฉพาะอาหารที่อยู่ในท้องถิ่นของเขา และดินในท้องถิ่นนั้นๆ ขาดซีลีเนียม หรือแมกนีเซียม หรือธาตุเหล็ก หรือแร่ธาตุอื่นๆ สิ่งเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อแต่ละคนและสัตว์แต่ละตัวในท้องถิ่นนั้นในเวลายาวนาน ใช่ไหมครับ? ในสมัยนี้เมื่อเรามาดูซากฟอสซิลมนุษย์โบราณที่หลงเหลืออยู่ ขอให้เราพิจารณาความเป็นไปได้โดยใช้ตรรกะและวิทยาศาสตร์ (รวมถึงข้อบกพร่องแต่กำเนิดที่เป็นไปได้) และไม่ใช่แค่เพียงใช้การเลือกตัวอย่างวิวัฒนาการของซากมนุษย์โบราณที่หลงเหลืออยู่อย่างไม่ซื่อสัตย์ (ด้วยการซ่อนหรือละเลยปริมาณส่วนใหญ่) เพื่อที่จะพยายามเผยแพร่และให้ความน่าเชื่อถือกับทฤษฎีวิวัฒนาการ พูดอีกแบบก็คือ พวกเขากำลังประกาศวิวัฒนาการโดยไม่สนใจหลักฐานของซากฟอสซิล เราจะต้องสูญเสียอย่างมากมายถ้าเรายอมให้พวกเขายังคงหลอกลวงประชาชนด้วยหลักฐานเท็จเหล่านี้ บันทึกซากฟอสซิล (คือเพื่อนสนิทที่สุดของคนที่เชื่อทฤษฎีเรื่องการทรงสร้างโลก) แสดงให้เห็นว่าสัตว์แต่ละชนิดมีการเปลี่ยนแปลงในชนิดของมันตลอดมา ซึ่งเป็นหลักฐานการทรงสร้างด้วยสติปัญญาอันยิ่งใหญ่

วิวัฒนาการทำอะไรบ้าง? (ใช่ ผมกำลังถามคำถามที่จริงจังกับคุณ) มันเติมเต็มความต้องการของเราที่จะรู้ว่าเรามาจากไหน เราไม่สามารถทดสอบหรือทำให้มันเกิดขึ้นอีกได้ และเมื่อคนที่เชื่อในเรื่องการทรงสร้างโลกเปิดเผยให้เห็นว่านักวิวัฒนาการไม่ได้ใช้หลักฐานหรือวิทยาศาสตร์ พวกวิวัฒนาการจะโกรธ โกรธหรือ? ขอโทษนะ? ผมคิดว่า “วิทยาศาสตร์” คือการแลกเปลี่ยนความคิดและหลักฐานด้วยกัน เรากำลังคุกคามศาสนาของพวกเขา เราคือใครในการเป็นมนุษย์? เราอยู่ที่นี่ทำไม? เราจะไปไหน? 35 ล้านของดีเอ็นเอเกลียวคู่ในมนุษย์ โอ้โห ผมไม่มีความเชื่อพอที่จะเชื่อว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นโดยความบังเอิญ นี่ไม่เหมือนกับวิทยาศาสตร์อื่นๆ ใช่ไหม?

   ไม่มีใครรู้หรือว่าคำว่า “วิทยาศาสตร์การทรงสร้าง” เป็นคำศัพท์ที่ขัดแย้งกัน

ต้นกำเนิดของเรา เป็นประวัติศาสตร์โบราณอันสูงสุดที่เรากำลังพูดถึงอยู่ นี่เป็นเรื่องที่เกิดความโต้แย้งกันได้ง่ายเพราะมันมีผลกระทบต่อชีวิตลึกๆ ภายในของเรา ลึกมากจริงๆ และทำให้เรารู้สึกถูกคุกคาม มันไม่เหมือนกับเรื่องวิทยาศาสตร์อื่น ถ้ามีพระเจ้าจริงที่ทรงสร้างพวกเรา และมีสิทธิ์ที่จะตัดสินเราหลังจากชีวิตนี้หมดไปหลังจากเวลาที่เราได้เรียนรู้และถูกทดสอบ ฉะนั้นเราจะเป็นคนโง่มาก ถ้าเรายังอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับความจริงนี้ ปิดตาของเราและประกาศร่วมกันว่า พระองค์ไม่มีจริง ตามความจริงแล้ว เราเป็นสิ่งที่ถูกสร้างอันเล็กน้อยที่ติดอยู่บนโลกใบเล็กในจักรวาล และเราสัมผัสสิ่งต่างๆได้ด้วยเพียงแค่ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า และคน “ฉลาด” ของเรา หรือคนที่ประกาศว่าตัวเองฉลาด ทึกทักว่าทุกสิ่งที่มีอยู่จริงจะต้องสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ ถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่มีจริง “วิทยาศาสตร์วิวัฒนาการ” พร้อมกับความโอหังของมันอาจจะเป็นคำศัพท์ที่ขัดแย้งกัน แต่ไม่ใช่กับคำว่า “วิทยาศาสตร์การทรงสร้าง” ซึ่งเห็นได้ชัดตั้งแต่แรกว่าเราและความเข้าใจอันจำกัดของเราไม่ใช่ศูนย์กลางของทุกสิ่งที่มีอยู่

   นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อเรื่องการทรงสร้างโลกไม่ได้ตีพิมพ์เพื่อจะให้คนอื่นตรวจสอบการเขียน นี่พิสูจน์ว่าเขาไม่ได้ทำตามวิธีวิทยาศาสตร์ ใช่ไหม?

มันง่ายที่จะพูดอย่างนั้น เพราะเหล่าบรรณาธิการทางวิทยาศาสตร์เองที่ปฏิเสธไม่รับพิจารณางานเขียนของนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อเรื่องการทรงสร้าง

โลก ดร. เฮนรี่ มอริส ที่ทำงานใน สถาบันวิจัยด้านการทรงสร้าง (Institute for Creation Research) ได้ชี้แจงว่ามีนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อในการทรงสร้างโลก ที่ทำงานในอุตสาหกรรมหรือด้านการแพทย์ แต่คนที่ไม่เชื่อในการทรงสร้างต่อต้านอย่างรุนแรงในด้านวิชาการ ซึ่งไม่มีใครสามารถพูดหรือเขียนในสิ่งที่ต่อต้านเรื่องวิวัฒนาการได้ โดยที่พวกเขาจะไม่ถูกไล่ออกจากงานหรือถูกเยาะเย้ย การตรวจสอบที่การเขียนอยู่ภายใต้ความกดดันในช่วงที่กำลังแข่งขันกันเพื่อได้รับการนับถือและความก้าวหน้าในด้านอาชีพทำให้มีข้อจำกัด นักวิวัฒนาการได้ตัดสินใจไปแล้วว่า ไม่มี “พระเจ้า” ที่เราต้องตอบสนอง ซึ่งนี่หมายความว่า สิ่งที่มนุษย์ตกลงกันนั้นเป็นทางที่จะค้นหาความจริงที่สูงสุด เป็นไปได้อย่างไรที่อาจารย์ที่สอนเรื่องวิวัฒนาการจะกล้าพูดตรงกันข้าม และหวังว่าตัวเองจะยังทำงานได้ต่อไป การที่จะโต้แย้งข้อตกลงที่พวกเขาได้ตกลงกันไว้แล้วอย่างไม่เกรงกลังพระเจ้า จะทำให้คนที่โต้แย้งนั้นผิด จงเข้าใจว่า ถ้าไม่มี “พระเจ้า” ที่จะต้องตอบสนอง การคอรัปชั่นก็จะยิ่งมีมากขึ้น นอกเสียจากว่าจะมีคนจากภายนอกเข้ามา (เหมือนกับการคอรัปชั่นในองค์กรตำรวจ การเมือง หรือตำแหน่งทางด้านศาสนา)

สมาคมวิจัยเรื่องการทรงสร้างโลก (Creation Research Society) ที่น่านับถือมีสมาชิกประมาณ 650 คนตอนนี้ ทุกคนจบการศึกษาระดับสูงทางด้านวิทยาศาสตร์ หลายคนได้ตีพิมพ์บทความทางวิทยาศาสตร์ที่ดีมาก และสมาคมนี้ได้ตีพิมพ์วารสารวิทยาศาสตร์และจดหมายข่าวที่มีเนื้อหาบทความเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ทุก 2 เดือน

   วิวัฒนาการคือวิทยาศาสตร์ ส่วนการทรงสร้างคือศาสนา

การกล่าวประโยคนี้จากคนที่โต้แย้งเป็นเรื่องปกติ ผมมักจะตอบสนองสั้นๆกับคำพูดแบบนี้ แต่ที่นี่ผมจะอธิบายว่า วิวัฒนาการเป็นกระบวนการที่คนเชื่อว่าจะอธิบายเรื่องต้นกำเนิดของเรา ในหลายพันปีที่มนุษย์เราได้ทำนาหรือเลี้ยงสัตว์มา ก็ไม่เคยมีตัวอย่างที่เกิดขึ้นและบันทึกไว้ ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีซากของสิ่งมีชีวิตที่กำลังอยู่ในช่วงของการวิวัฒนาการจากชนิดหนึ่งไปสู่อีกชนิดหนึ่ง ไม่มีแม้แต่อันเดียว ความเชื่อเรื่องการคำนวณอายุวัตถุเก่าแก่จากปริมาณคาร์บอนที่เราใช้ยืนยันว่าโลกมีอายุหลายล้านปี ไม่สามารถสอบผ่านการทดสอบทางด้านวิทยาศาสตร์ด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ บางครั้งผมชอบที่จะเปลี่ยนลำดับคำแสดงผลลัพธ์ ผมชอบพูดว่าวิทยาศาสตร์แห่งการทรงสร้างโลกเปรียบเทียบแห่งศาสนาแห่งวิวัฒนาการ วิวัฒนาการระดับมหภาค (จากระดับโมเลกุลสู่มนุษย์ที่เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติโดยผ่านระยะเวลา) เป็นความเชื่อที่เข้มแข็งของพวกที่เชื่อเรื่องนี้ แต่นี่ไม่ใช่ทฤษฎีเดียวในโลกนี้

   อะไรคือความแตกต่างระหว่างวิวัฒนาการระดับมหภาคและวิวัฒนาการระดับจุลภาค?

วิวัฒนาการระดับมหภาคคือทฤษฎีที่กล่าวว่า สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งเกิดขึ้นได้จากสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งได้ถ้ามีเวลาและมีโอกาสพอ วิวัฒนาการทั้งระดับมหภาคและจุลภาคเป็นกระบวนการชีวิตที่สังเกตได้ว่าเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตมีความใกล้เคียงกับบรรพบุรุษของมัน (แต่ไม่เหมือนกัน) (มันน่าอัศจรรย์ใจใช่ไหมว่าพระเจ้าที่สร้างโลกสร้างสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดที่จะเปลี่ยนแปลงโดยอัตโนมัติได้) ตามปกติเด็กจะสืบทอดลักษณะภายนอกจากทั้งพ่อและแม่ วิวัฒนาการระดับจุลภาคเป็นวิทยาศาสตร์ นี่เป็นทางที่พระเจ้าออกแบบให้ชีวิต คือมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นภายในแต่ละชนิดได้ จงดูให้ดีว่าเมื่อนักวิวัฒนาการเสนอตัวอย่างของวิวัฒนาการระดับมหภาค ทุกครั้งมันเป็นตัวอย่างของวิวัฒนาการระดับจุลภาคที่เขาจะอ้างถึงโดยหวังว่าจะไม่มีใครรู้ถึงความแตกต่าง กฎพันธุกรรมของเมนเดลแสดงเราให้ว่าทำไมวิวัฒนาการระดับจุลภาคไม่ได้นำไปถึงวิวัฒนาการมหภาค

... มีคำถามหลายคำถามและคำถามเหล่านั้นเป็นคำถามที่หลากหลายและน่าท้าทายซึ่งผู้คนอาจจะถาม หวังว่าสิ่งที่เราเขียนมาข้างบนจะตอบคำถามที่คุณอาจจะเคยมี ที่เกี่ยวกับเรื่องสำคัญนี้ ถ้าคุณเป็นคนที่เกรงกลัวพระเจ้า ขอให้คุณได้อธิษฐานที่จะเข้าใจประเด็นพื้นฐานนี้ หลังจากได้ตรวจสอบทั้งสองด้าน คุณอาจจะได้ข้อสรุปที่แตกต่าง แต่กรุณาพิจารณาดูความเป็นไปได้ว่า เหตุผลที่เราเขียนและโพสข้อมูลเหล่านี้ เป็นเพราะว่าเราหวังว่าจะเป็นสิ่งที่ให้กำลังใจและความเข้าใจแก่คุณ

======

ในช่วงการล้มลงในความบาปเมื่ออาดัมกับเอวาทำบาป และเราเสียความสัมพันธ์กับผู้ทรงสร้างของเราไป นี่คือเกือบ 6,000 ปีที่แล้ว ในยุคต่อไปมันเป็นการต่อสู้ที่จะรักษาและส่งต่อว่าเรามาจากไหนและเราจะกลับคืนดีกับพระเจ้าได้อย่างไร อย่างที่บรรพบุรุษของเรากระจัดกระจายหลังจากน้ำท่วมโลก พวกเขาก็ส่งต่อประวัติศาสตร์ที่ไม่เหมือนกัน รวมถึงบันทึกเกี่ยวกับน้ำท่วมโลกใหญ่ที่เรายังจำได้ถึง 250 เรื่อง ไม่มีประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมใดๆ ที่จะกล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเกิน 5,000 ปีที่แล้ว นี่เป็นความจริงทั่วโลก แต่อย่างไรก็ตาม ผ่านทาง 200 ปีที่ผ่านมา มีการผลักดันโดย “มนุษย์สมัยใหม่ระดับสูง” ที่จะพยายามลืมในสิ่งที่บรรพบุรุษของเราได้ทิ้งไว้ในประวัติศาสตร์ซึ่งอายุโดยรวมเพียงไม่กี่พันปี เพื่อที่จะเอาตำนานเรื่อง “หลายล้านปี” มาแทนที่ ซึ่งตำนานที่ว่าคือเราเป็นผลของอุบัติเหตุของทฤษฎีระเบิดครั้งใหญ่ และให้เรายืนเคียงข้างกัน และต่อต้านผู้ทรงสร้างของเรา “เอเลี่ยน” (คือทูตสวรรค์ที่ตกลงมาจากสวรรค์ หรือวิญญาณ หรือพระเจ้าเทียมเท็จ) จะสามารถก้าวเข้ามาและทำให้ประวัติศาสตร์เท็จจบอย่างสมบูรณ์ ได้โปรดอย่าล้มในการหลอกลวงฝ่ายจิตวิญญาณแห่งวิวัฒนาการ และทุกสิ่งที่จะเกิดมาจากความเชื่อในวิวัฒนาการ

ผมจะขอปิดด้วยคำอธิษฐานที่คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าสามารถอธิษฐานด้วยได้ว่า “องค์พระผู้สร้างโลก ถ้าพระองค์มีอยู่จริง และถ้าพระองค์สามารถได้ยินผมได้ โปรดช่วยผม”  แค่เริ่มก้าวแรก เราไม่ได้อยู่คนเดียวในจักรวาลนี้

พอล อับแรมซัน บรรณาธิการของ  www.creationism.org
 
 



 
Other Creation Science FAQs:
 

CMI • Creation Ministries Intl. - Creation Answers  FAQ

ICR • Institute for Creation Research  FAQ  

CSC's  "In the Beginning"  - Full Index  

AIG • Answers In Genesis  FAQ





(Media/Reporter Info)  Creationism.org's - "Press Release"

 

<http://www.creationism.org/thai/creationism_faq_th.htm>

หน้าหลัก
คำถาม
ลิงค์
EN บทความ
หนังสือ
รูปภาพ
MP3
วีดีโอ